บูม 'ศูนย์ข้อมูล' มาเลเซียเสี่ยงวิกฤติพลังงาน-น้ำ เร่งออกมาตรการยั่งยืน

31 สิงหาคม 2568
บูม 'ศูนย์ข้อมูล' มาเลเซียเสี่ยงวิกฤติพลังงาน-น้ำ เร่งออกมาตรการยั่งยืน

กระแสดาต้าเซ็นเตอร์ ดันรัฐยะโฮร์ มาเลเซีย ผงาดเป็นศูนย์กลางใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดึงดูดเงินลงทุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีทั่วโลก แต่กดดันกำลังผลิตไฟฟ้าและทรัพยากรน้ำ รัฐบาลต้องชะลอโครงการใหม่ เตรียมออกกรอบ “ศูนย์ข้อมูลยั่งยืน”

การเเสปัญญาประดิษฐ์ (AI) นำมาซึ่งการลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์และคำมั่นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นกลับต้องใช้พลังงานและทรัพยากรจำนวนมหาศาล พื้นที่ตอนใต้ของมาเลเซีย ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง ศูนย์ข้อมูล ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางความต้องการการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นจาก AI

รัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย มีประชากรราว 4 ล้านคน ดึงดูดโครงการศูนย์ข้อมูลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมถึงจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Google, Microsoft และ ByteDance ของจีน ปัจจัยดึงดูดโครงการเหล่านี้มาจากที่ดินและทรัพยากรราคาถูก ความใกล้ชิดกับศูนย์กลางการเงินสิงคโปร์ และสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล

แม้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการจ้างงานใหม่ ๆ แต่สัญญาณชี้ชัดว่าอุตสาหกรรมนี้กำลังผลักดันกำลังการผลิตไฟฟ้าและทรัพยากรธรรมชาติของรัฐถึงขีดจำกัด ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ชะลอการอนุมัติโครงการใหม่

ความต้องการพลังงานและอุปสรรค

ตามข้อมูลจาก DC Byte บริษัทวิจัยตลาดศูนย์ข้อมูล รัฐยะโฮร์มีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าเพื่อศูนย์ข้อมูลราว 580 เมกะวัตต์ (MW) แต่กำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการวางแผน รวมโครงการระยะต้น สูงเกือบ 10 เท่า

ตามการคำนวณโดยใช้ข้อมูลจาก PKnergy ระบุว่า พลังงานในระดับดังกล่าวสามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับครัวเรือนมากถึง 5.7 ล้านครัวเรือนต่อชั่วโมง

แม้ว่ายะโฮร์จะครองสัดส่วนส่วนใหญ่ของศูนย์ข้อมูลที่มีการวางแผนในมาเลเซีย แต่ศูนย์กลางใหม่ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศก็กำลังเกิดขึ้น ธนาคาร Kenanga Investment Bank Berhad ของมาเลเซีย คาดการณ์ว่า การใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลในประเทศจะมีสัดส่วนถึง 20% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2035

ท่ามกลางความต้องการที่เพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมของมาเลเซียระบุเมื่อเดือนมิถุนายนว่า ประเทศคาดว่าจะเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่ 6 ถึง 8 กิกะวัตต์ โดยการใช้ไฟฟ้ารวมจะเพิ่มขึ้น 30% ภายในปี 2030

แม้ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในโรงไฟฟ้าจะสะอาดกว่าถ่านหิน ซึ่งคิดเป็นกว่า 43% ของไฟฟ้ามาเลเซียในปี 2023 แต่การพึ่งพาก๊าซเพื่อรองรับการขยายศูนย์ข้อมูลอาจขัดแย้งกับแผนของประเทศที่จะบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050

อีกความท้าทายสำคัญคือ “น้ำ”

ศูนย์ข้อมูลใช้ในปริมาณมหาศาลเพื่อระบายความร้อนและป้องกันความร้อนสูงเกินไป มีการประเมินว่าศูนย์ข้อมูลขนาด 100 เมกะวัตต์ใช้ราว 4.2 ล้านลิตรต่อวัน เทียบเท่าการจัดหาน้ำให้กับชาวบ้านนับพัน

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ยะโฮร์ ซึ่งเคยประสบปัญหาการหยุดชะงักด้านน้ำหลายครั้งและต้องพึ่งพาสิงคโปร์เพื่อรับน้ำบำบัดจำนวนมาก กำลังดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและโรงบำบัดน้ำใหม่ 3 แห่ง

ทางออกด้านทรัพยากร

มาเลเซีย ส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะควบคุมการใช้พลังงานและทรัพยากรของอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล รัฐบาลเตรียมเปิดตัว “กรอบศูนย์ข้อมูลอย่างยั่งยืน” (Sustainable Data Centre Framework) ภายในเดือนตุลาคม ตามที่เต็งกู ซาฟรุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม ระบุในโพสต์บน X เมื่อเดือนกรกฎาคม เพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ได้อนุมัติโครงการพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น และกำลังสำรวจการใช้พลังงานนิวเคลียร์

สำหรับน้ำ รัฐบาลได้ปรับขึ้นอัตราค่าน้ำสำหรับศูนย์ข้อมูลในยะโฮร์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมหันมาใช้น้ำเสียรีไซเคิล โดยบางศูนย์ข้อมูลใหม่ได้ออกแบบให้ไม่ใช้น้ำในการระบายความร้อนเลย

ในระดับภูมิภาค ความกังวลเกี่ยวกับศูนย์ข้อมูลที่ใช้ทรัพยากรเข้มข้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปในปี 2019 สิงคโปร์เคยเข้มงวดกับอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการประกาศพักโครงการศูนย์ข้อมูลใหม่เป็นเวลา 3 ปี เพื่อจำกัดการใช้พลังงานและน้ำ

ภาพรวมศูนย์ข้อมูลระดับโลก

ศูนย์ข้อมูล ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและทรัพยากรการประมวลผลที่รองรับทุกอย่างตั้งแต่ อีคอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย ธนาคารดิจิทัล ไปจนถึงโมเดล AI แบบกำเนิด (Generative AI)

ความต้องการและความสนใจจากนักลงทุนพุ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากความจำเป็นในการใช้พลังประมวลผลมหาศาลของ AI โดยยะโฮร์เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการเติบโตของอุตสาหกรรมและความท้าทายด้านพลังงานและน้ำที่ตามมา

รายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในเดือนพฤษภาคม ระบุว่า การใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2023 ได้แตะระดับเดียวกับประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศส เพียงไม่นานหลังจากการเปิดตัวโมเดล ChatGPT ของ OpenAI นักวิจัยบางรายประเมินว่า โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ AI อาจใช้น้ำมากกว่าประเทศเดนมาร์กถึง 4 ถึง 6 เท่า ภายในปี 2027

ตามรายงานของ DC Byte ระบุว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้คาดว่าจะเร่งตัวต่อไป แม้ว่าการคาดการณ์กำลังการผลิตในอนาคตจะแตกต่างกันอย่างมาก แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ การก่อสร้างศูนย์ข้อมูลไม่สามารถตามทันความต้องการได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านพลังงานและความล่าช้าในการอนุญาต เพื่อรับมือ บางรัฐบาลพยายามเร่งกระบวนการอนุมัติและนำแหล่งพลังงานใหม่ราคาถูกเข้าสู่ระบบ ขณะที่นักสิ่งแวดล้อมเตือนว่า แนวทางดังกล่าวอาจขัดแย้งกับเป้าหมาย Net Zero ระดับโลก

สหรัฐอเมริกา ตลาดศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เพิ่งเปิดตัว “America’s AI Action Plan” โดยเรียกร้องให้ลดขั้นตอนอนุญาตและยกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI และพลังงานที่จำเป็น

การวิเคราะห์เมื่อเดือนมิถุนายนโดยมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ North Carolina State คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ค่าไฟฟ้าของชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้น 8% และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 30% เนื่องจากการเติบโตของศูนย์ข้อมูลและการขุดคริปโทเคอร์เรนซี


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.