กระแสดาต้าเซ็นเตอร์ ดันรัฐยะโฮร์ มาเลเซีย ผงาดเป็นศูนย์กลางใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดึงดูดเงินลงทุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีทั่วโลก แต่กดดันกำลังผลิตไฟฟ้าและทรัพยากรน้ำ รัฐบาลต้องชะลอโครงการใหม่ เตรียมออกกรอบ “ศูนย์ข้อมูลยั่งยืน”
การเเสปัญญาประดิษฐ์ (AI) นำมาซึ่งการลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์และคำมั่นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นกลับต้องใช้พลังงานและทรัพยากรจำนวนมหาศาล พื้นที่ตอนใต้ของมาเลเซีย ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง ศูนย์ข้อมูล ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางความต้องการการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นจาก AI
รัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย มีประชากรราว 4 ล้านคน ดึงดูดโครงการศูนย์ข้อมูลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมถึงจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Google, Microsoft และ ByteDance ของจีน ปัจจัยดึงดูดโครงการเหล่านี้มาจากที่ดินและทรัพยากรราคาถูก ความใกล้ชิดกับศูนย์กลางการเงินสิงคโปร์ และสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล
แม้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการจ้างงานใหม่ ๆ แต่สัญญาณชี้ชัดว่าอุตสาหกรรมนี้กำลังผลักดันกำลังการผลิตไฟฟ้าและทรัพยากรธรรมชาติของรัฐถึงขีดจำกัด ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ชะลอการอนุมัติโครงการใหม่
ความต้องการพลังงานและอุปสรรค
ตามข้อมูลจาก DC Byte บริษัทวิจัยตลาดศูนย์ข้อมูล รัฐยะโฮร์มีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าเพื่อศูนย์ข้อมูลราว 580 เมกะวัตต์ (MW) แต่กำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการวางแผน รวมโครงการระยะต้น สูงเกือบ 10 เท่า
ตามการคำนวณโดยใช้ข้อมูลจาก PKnergy ระบุว่า พลังงานในระดับดังกล่าวสามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับครัวเรือนมากถึง 5.7 ล้านครัวเรือนต่อชั่วโมง
แม้ว่ายะโฮร์จะครองสัดส่วนส่วนใหญ่ของศูนย์ข้อมูลที่มีการวางแผนในมาเลเซีย แต่ศูนย์กลางใหม่ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศก็กำลังเกิดขึ้น ธนาคาร Kenanga Investment Bank Berhad ของมาเลเซีย คาดการณ์ว่า การใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลในประเทศจะมีสัดส่วนถึง 20% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2035
ท่ามกลางความต้องการที่เพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมของมาเลเซียระบุเมื่อเดือนมิถุนายนว่า ประเทศคาดว่าจะเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่ 6 ถึง 8 กิกะวัตต์ โดยการใช้ไฟฟ้ารวมจะเพิ่มขึ้น 30% ภายในปี 2030
แม้ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในโรงไฟฟ้าจะสะอาดกว่าถ่านหิน ซึ่งคิดเป็นกว่า 43% ของไฟฟ้ามาเลเซียในปี 2023 แต่การพึ่งพาก๊าซเพื่อรองรับการขยายศูนย์ข้อมูลอาจขัดแย้งกับแผนของประเทศที่จะบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
อีกความท้าทายสำคัญคือ “น้ำ”
ศูนย์ข้อมูลใช้ในปริมาณมหาศาลเพื่อระบายความร้อนและป้องกันความร้อนสูงเกินไป มีการประเมินว่าศูนย์ข้อมูลขนาด 100 เมกะวัตต์ใช้ราว 4.2 ล้านลิตรต่อวัน เทียบเท่าการจัดหาน้ำให้กับชาวบ้านนับพัน
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ยะโฮร์ ซึ่งเคยประสบปัญหาการหยุดชะงักด้านน้ำหลายครั้งและต้องพึ่งพาสิงคโปร์เพื่อรับน้ำบำบัดจำนวนมาก กำลังดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและโรงบำบัดน้ำใหม่ 3 แห่ง
ทางออกด้านทรัพยากร
มาเลเซีย ส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะควบคุมการใช้พลังงานและทรัพยากรของอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล รัฐบาลเตรียมเปิดตัว “กรอบศูนย์ข้อมูลอย่างยั่งยืน” (Sustainable Data Centre Framework) ภายในเดือนตุลาคม ตามที่เต็งกู ซาฟรุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม ระบุในโพสต์บน X เมื่อเดือนกรกฎาคม เพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ได้อนุมัติโครงการพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น และกำลังสำรวจการใช้พลังงานนิวเคลียร์
สำหรับน้ำ รัฐบาลได้ปรับขึ้นอัตราค่าน้ำสำหรับศูนย์ข้อมูลในยะโฮร์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมหันมาใช้น้ำเสียรีไซเคิล โดยบางศูนย์ข้อมูลใหม่ได้ออกแบบให้ไม่ใช้น้ำในการระบายความร้อนเลย
ในระดับภูมิภาค ความกังวลเกี่ยวกับศูนย์ข้อมูลที่ใช้ทรัพยากรเข้มข้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปในปี 2019 สิงคโปร์เคยเข้มงวดกับอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการประกาศพักโครงการศูนย์ข้อมูลใหม่เป็นเวลา 3 ปี เพื่อจำกัดการใช้พลังงานและน้ำ
ภาพรวมศูนย์ข้อมูลระดับโลก
ศูนย์ข้อมูล ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและทรัพยากรการประมวลผลที่รองรับทุกอย่างตั้งแต่ อีคอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย ธนาคารดิจิทัล ไปจนถึงโมเดล AI แบบกำเนิด (Generative AI)
ความต้องการและความสนใจจากนักลงทุนพุ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากความจำเป็นในการใช้พลังประมวลผลมหาศาลของ AI โดยยะโฮร์เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการเติบโตของอุตสาหกรรมและความท้าทายด้านพลังงานและน้ำที่ตามมา
รายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในเดือนพฤษภาคม ระบุว่า การใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2023 ได้แตะระดับเดียวกับประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศส เพียงไม่นานหลังจากการเปิดตัวโมเดล ChatGPT ของ OpenAI นักวิจัยบางรายประเมินว่า โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ AI อาจใช้น้ำมากกว่าประเทศเดนมาร์กถึง 4 ถึง 6 เท่า ภายในปี 2027
ตามรายงานของ DC Byte ระบุว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้คาดว่าจะเร่งตัวต่อไป แม้ว่าการคาดการณ์กำลังการผลิตในอนาคตจะแตกต่างกันอย่างมาก แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ การก่อสร้างศูนย์ข้อมูลไม่สามารถตามทันความต้องการได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านพลังงานและความล่าช้าในการอนุญาต เพื่อรับมือ บางรัฐบาลพยายามเร่งกระบวนการอนุมัติและนำแหล่งพลังงานใหม่ราคาถูกเข้าสู่ระบบ ขณะที่นักสิ่งแวดล้อมเตือนว่า แนวทางดังกล่าวอาจขัดแย้งกับเป้าหมาย Net Zero ระดับโลก
สหรัฐอเมริกา ตลาดศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เพิ่งเปิดตัว “America’s AI Action Plan” โดยเรียกร้องให้ลดขั้นตอนอนุญาตและยกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI และพลังงานที่จำเป็น
การวิเคราะห์เมื่อเดือนมิถุนายนโดยมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ North Carolina State คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ค่าไฟฟ้าของชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้น 8% และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 30% เนื่องจากการเติบโตของศูนย์ข้อมูลและการขุดคริปโทเคอร์เรนซี